วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรจึงจะหายจากการเป็นคนคิดมาก ขี้กังวล?

ต้องหัดยอมรับนะค่ะและเข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งที่เราคิด เรากังวล เราเองก้อเคยเป็น เดี๋ยวนี้เราก้อเอาสิ่งที่เราคิดมาเขียนมาขบดูว่าเราจะแก้อะไรตรงไหน หรือทำอย่างไรก้บมันดี ก่อนที่จะนอน จะได้นอนหลับเพราะส่วนนึงของสมองรับรู้ว่าเราได้พยายามแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ ก้อช่วยได้นะ บอกตัวเองเสมอว่าเวลานี้ควรทำอะไร พอว่างแล้วค่อยคิดต่อ อะไรประมาณนี้นะค่ะอ ส่วนข้อมูลข้างล่างเอามาจาก เวบที่บังเอิญอ่านเจอเลยเอามาฝากนะค่ะเพื่อจะช่วยได้


วังวนแห่งความอัดแน่นไปด้วยสาระของสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะปล่อยใจให้ยอมรับกับเรื่องราวไม่น่าพึงปรารถนาทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ทั้งความกลัว ความเกลียด ความหวาดระแวง ความขัดแย้ง ความคับข้องใจ และภาวะต้องตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง

ยิ่งช่วงวัยรุ่นวัยเรียน… ความเครียดที่จะเกิดมากก็เห็นจะเป็นปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยทำให้มักเกิดความขัดแย้งกับคุณพ่อ คุณแม่ แล้วยังจะปัญหาความรัก ปัญหาเรื่องการเรียน เรื่องการเรียนนี่ ช่วงสอบนี่หละหนักสุด เครียดมากไม่ดีค่ะ มาหาวิธีแก้เครียดกันหน่อยดีกว่า

ในขณะที่ได้รับความเครียดอย่างกระทันหัน ให้ระบายความเครียดออกมา อาจจะตะโกน ร้องไห้ กรี๊ดในลำคอ เอาหมอนอุดปากเกลือกกลิ้งกับพื้นห้องอะไรก็ทำไป ระบายอะไรๆ ออกมาบ้าง แต่เข้าห้องปิดประตูเป็นส่วน***ให้เรียบร้อยก่อนทำหละ เดี๋ยวสาธารณะชนจะแตกตื่นนะจ๊ะ พอได้ระบายแล้วจะทำให้ไม่เกิดการเก็บกด หรือสะสมความเครียดเหล่านี้ไว้ข้างใน
ถ้ามีปัญหามาก อย่าหยุดทำงาน อย่าหยุดทำการบ้าน อย่าหยุดอ่านหนังสือ สรุปแล้วคืออย่าอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ยิ่งเราว่างเท่าไหร่ก็จะยิ่งคิดมากขึ้นเท่านั้น พาลแต่จะมีปัญหาเพิ่มขึ้น ทำใจให้สนุก จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ จะได้เลิกคิดถึงปัญหาอื่นๆ แต่ถ้างานที่ทำอยู่ทำให้เกิดความเครียด ให้หยุดพักงานนั้นไว้ชั่วคราวก่อน แล้วหันไปทำงานอื่นที่ชอบเพื่อผ่อนคลาย อาการเครียดจะลดลง
กีฬา …จะช่วยผ่อนคลายความเครียด ดีกับสุขภาพกาย มีโอกาสคบค้าสมาคมกับคนอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญ จะต้องเป็นกีฬาที่ชอบ เพราะหากได้ทำในสิ่งที่ชอบเราจะสนุกสนานเต็มที่ และมีความกระตือรือร้นขึ้น
เข้าหาสังคมเป็นสิ่งที่ดี หลายคนคิดว่าเวลาเครียด วิตกกังวล เป็นทุกข์ ควรจะเก็บตัวเงียบๆ อยู่คนเดียว เพราะความเบื่อหน้ามนุษย์ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด เดี๋ยวจะพาลทะเลาะกับคนอื่นเปล่าๆ แต่หากใช้เวลาสงบสติอารมณ์พอแล้ว อยากให้หันหน้ามาพูดคุยกับเพื่อน เริ่มจากเพื่อนคนที่เราขวางหูขวางตาน้อยที่สุดก่อนก็ได้ พยายามสื่อสาร และจดจ่อกับสิ่งที่เค้าพูด แล้วทำความเข้าใจให้มาก การพูดคุยจะช่วยให้ลืมความเครียดไปได้ระยะหนึ่ง
ช่วยเหลือ เอื้ออาทรต่อคนอื่น ปกติคนที่มีความเครียดมักจะหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของตัวเองจนลืมนึกถึงคนอื่น ลองหยุดปัญหาของตัวเองไว้ซักนิดนึง หันมาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ของคนรอบข้างบ้าง ให้คำแนะนำ ร่วมมือในกิจกรรม จะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และมีอารมณ์ที่เข้มแข็งขึ้น การมีโอกาสได้มองเห็นปัญหา เห็นความทุกข์ของคนอื่นจะทำให้เราสงบขึ้น และจะรู้สึกดีอย่างมากมายหากคนที่เราช่วยเหลือแสดงความซาบซึ้ง หรือขอบคุณ …เราจะมีกำลังใจหันมาจัดการกับปัญหาของตัวเองได้ต่อไป
สร้างความสุขจากความทรงจำ หากว่าฝืนความรู้สึกจนเกินกว่าที่จะพบปะหน้าใครในโลก ลองลดความเครียดด้วยการระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ในช่วงเวลาที่ประทับใจมากที่สุด นึกถึงเหตุการณ์ดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าและพอใจ ในบางครั้งอาจจะใช้อุปกรณ์เก่าๆ ช่วยก็ได้ อย่างไดอารี่ที่เราบันทึกเรื่องราวเพ้อฝันต่างๆนานา อัลบั้มรูปเก่าๆ จดหมายเก่าๆ บทกลอนที่เพื่อนๆ เขียนให้ ความทรงจำเหล่านี้จะรักษาอารมณ์รุนแรงให้สงบลงและยิ้มได้
หัวเราะ…บางเวลาที่เราเครียดจนพาลพาโลดูถูกเรื่องไร้สาระที่เคยทำให้เราหัวเราะได้ ลองเปิดวิดีโอตลกๆ ดูซักเรื่อง อ่านการ์ตูน ดูข่าวบันเทิงน้ำเน่า โดยอย่าไปเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องที่อ่าน เรื่องที่ดู ทำใจให้นึกสนุก มีอารมณ์ร่วมไปด้วย ไม่ช้าจะดีขึ้นเอง
ใส่ใจกับตัวเอง..หลังจากที่พยายามปรับอารมณ์ให้เข้ากับคนอื่นๆ ได้ ก็ควรจะต้องสนใจตัวเองด้วย หากิจกรรมดีๆ ให้ตัวเองทำ ออกไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง จัดบ้าน นอนแช่น้ำอุ่น พอกหน้า หมักผม ตัดเล็บ ปล่อยใจสบายๆ ทำตัวให้ผ่อนคลาย จะทำให้อารมณ์สดใสขึ้นได้
มองโลกให้ดีและสวยงาม…ระยะแรกๆ อาจจะสับสนบ้าง แต่ให้พยายามควบคุม หยุดคิดเรื่องร้ายๆ มองและฟังแต่สิ่งดีๆ รื่นหู สบายตา นั่งมองน้ำตก ฟังเสียงคลื่น ดูปลาในสระน้ำ สูดดมแต่กลิ่นที่ทำให้พอใจอย่างกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ หรืออาจจะหาอะไรอร่อยๆ ทาน อย่างหลังนี่เค้าเรียกหารสละมุนลิ้นเป็นรางวัลให้ชีวิตค่ะ แต่อย่ามากไปนะ เพราะอาจมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตามมา ทีนี้ล่ะจะยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก
การสัมผัสด้วยความรักและความอ่อนโยน การที่ได้มีโอกาสสัมผัสในสิ่งที่เรารัก และชื่นชอบจะสร้างความสุขในระหว่างที่เรามีทุกข์ได้ อย่างการอุ้มเด็กทารก ดูแลเหย้าหยอกสุนัข หรือเจ้าแมวเหมียวตัวน้อย กอดคนที่รัก หรือแม้แค่การสัมผัส จับกุมมือคนที่มีความหมายกับเรา สัมผัสอบอุ่นเหล่านี้ก็จะช่วยผ่อนคลาย ชะโลมจิตใจให้อบอุ่นอ่อนโยนตามได้
และสุดท้ายที่จะแนะนำในการลดความเครียด ….คือ พักผ่อนค่ะ นอนหลับไปเลยนั่นแหละดีที่สุด หลับให้สนิทตื่นเช้าขึ้นมาจะทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นขึ้นนะคะ ….

สิ่งที่เรามองข้าม

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง

เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง

เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง

เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า

แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง

เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง

เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง

ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ

เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว

จงแสวงหา การหยั่งรู้

จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…

จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….

กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป

ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด

เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย

น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้

เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม

บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย

เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง

และเวลานี้….

เตือนซูชิ มีคอเลสเตอรอล-สารปรอท

หลุยส์ ซัตตัน แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ เมโทรโพลิแทน บอกว่า ซูชิซึ่งมีทั้งหน้าปลาดิบ ไข่ หรือผัก อาจมีคอเลสเตอรอล เกลือ พยาธิตัวกลม สารปรอท และแบคทีเรีย ฉะนั้นควรเลือกกินอย่างชาญฉลาด

           คอเลสเตอรอล : ไข่ปลาค็อดที่แนมมากับซูชินั้น มีกรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ไข่ปลาก็มีคอเลสเตอรอลสูง จึงไม่ควรกินคราวละมาก ๆ หรือกินบ่อย ๆ หากเป็นคนที่มีคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ส่วนผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินซูชิเพราะมีกรดยูริกสูง ซึ่งจะทำให้อาการกำเริบ

          เกลือ : แม้ซูชิมีเกลือน้อย แต่ถ้าจิ้มซอสถั่วเหลืองจนชุ่มก็จะเป็นการเพิ่มเกลือ ส่วนซอสที่ใส่มาในถุงพร้อมซูชินั้น มีเกลือ 1 กรัม คนเราไม่ควรได้รับเกลือเกินวันละ 6 กรัม ฉะนั้น คนที่มีความดันโลหิตสูงจึงควรหลีกเลี่ยงซอสถั่วเหลือง หรือคนที่แพทย์แนะนำให้กินอาหารที่มีเกลือน้อย

          พยาธิตัวกลม : รายงานวิชาการสองชิ้น ซึ่งนำเสนอต่อที่ประชุมของสมาคมศาสตร์ว่าด้วยกระเพาะอาหารและลำไส้อเมริกันเมื่อเร็ว ๆ นี้บอกว่าพบพยาธิตัวกลมในซูชิ เมื่อถูกย่อยในทางเดินอาหารของมนุษย์ ตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมจะเกาะเข้ากับเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และท้องร่วง ดังนั้น ปลาดิบที่จะนำมาทำซูชิควรแช่แข็งที่อุณหภูมิลบ 20 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้พยาธิตาย

          สารปรอท : เมื่อปีที่แล้ว ผลวิจัยในวารสาร Biology Letters ในอังกฤษ เปิดเผยว่า ซูชิหน้าปลาทูน่าซึ่งมีขายตามร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐ มีสารปรอทสูงเกินระดับมาตรฐานด้านสาธารณสุข หากได้รับสารปรอทมากเกินไปจะส่งผลต่อระบบประสาท เช่น อัมพาตสมอง หูหนวก ตาบอด ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงปลาบางชนิด เช่น เนื้อปลาทูน่าสด

          แบคทีเรีย : แบคทีเรียที่พบบ่อยในซูชิเป็นชนิดสตาไฟโลค็อกคัส ออรีอุส ซึ่งเจอในข้าวมากกว่าในปลาดิบ หากข้าวปั้นถูกทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง แบคทีเรียในข้าวจะแบ่งตัว และเสี่ยงต่อโรคอาหารเป็นพิษ

          เช่นนั้นแล้ว การเลือกซื้อควรเลือกซูชิที่สดใหม่ กินหมดภายในเวลาที่กำหนด และเก็บแช่ในตู้เย็น เพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ถามหา